อยากสุขภาพแข็งแรงเรามาวิ่งกันเถอะ

       ใครๆก็คงอยากจะมีร่างกายที่แข็งแรงไม่เจ็บป่วยได้ง่ายๆสิ่งที่ทุกคนต้องทำก็คือการดูแลใส่ใจตัวเองให้มากด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ถูกต้องตามหลักโภชนาการกินให้ครบ 5 หมู่ดื่มน้ำเยอะๆนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและที่สำคัญก็คือการออกกำลังกายซึ่งหลายคนมักจะใช้วิธีการออกกำลังกายด้วยการเข้าฟิตเนส

แต่เนื่องจากในตอนนี้มีการระบาดของไวรัสโคโรน่าฟิตเนสตามสถานที่ต่างๆต่างก็ปิดให้บริการดังนั้นการออกกำลังกายของเราจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนไปเพื่อให้ทันยุคทันสมัยและทันเหตุการณ์ซึ่งถ้าหากบ้านไหนมีพื้นที่ในหมู่บ้านที่สามารถออกมาวิ่งออกกำลังกายได้ก็จะทำให้เรามีสถานที่ออกกำลังกายแห่งใหม่โดยที่ไม่ต้องเข้าฟิตเนสเลยซึ่งการออกกำลังกายด้วยการวิ่งนั้นทำให้เราประหยัดไม่ต้องเสียค่าฟิตเนสรวมถึงสะดวกเพราะแค่เปิดประตูบ้านเราก็สามารถวิ่งออกกำลังกายได้แล้วในหมู่บ้านของเราแต่การวิ่งออกกำลังกายนั้นก็จะต้องรู้หลักการวิ่งให้ถูกต้อง

ว่าจะต้องมีการเคลื่อนไหวแบบไหนเพราะหากเราวิ่งไม่ถูกต้องจะส่งผลกระทบให้มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของกระดูกก็เป็นได้ดังนั้นการวิ่งที่ดีเราจึงควรระมัดระวังเรื่องของการเคลื่อนไหวตั้งแต่เท้าและเข่าซึ่งตามหลักการวิ่งที่ถูกต้องนั้นเราควรจะต้องให้ส้นเท้าของเราแตะไปที่พื้นก่อนถึงจะตามด้วยฝ่าเท้าและการไหว้ที่ถูกต้องจะต้องไม่วิ่งเอาปลายเท้าลงพอจะมีผลทำให้กล้ามเนื้ออักเสบการวิ่งออกกำลังกายเพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงนั้นเราไม่จำเป็นต้องวิ่งแบบเอาเป็นเอาตายเหมือนกับวิ่งแข่งควรวิ่งแค่เพียงใหญ่ๆเท่านั้นและในขณะที่วิ่งก็ควรจะเคลื่อนไหวร่างกาย

ส่วนอื่นๆด้วยเช่นการเคลื่อนไหวแขนซึ่งขณะที่วิ่งแล้วก็ควรแกว่งแขนไปมาเล็กน้อยและควรจะมีการสูดลมหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในขณะที่วิ่งเรียกได้ว่าการวิ่งออกกำลังกายนั้นควรเป็นการวิ่งแบบย่อๆไม่ต้องวิ่งเร็วจนเกินไปและในขณะที่วิ่งก็พยายามหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในร่างกายซึ่งถ้าหากเราทำได้จะช่วยให้เราห่างไกลจากคำว่าอ้วนและยัง

การหมุนเวียนของเลือดก็ยังดีอีกด้วยดังนั้นช่วงที่ไม่สามารถเดินทางไปเข้าฟิตเนสได้การออกกำลังกายด้วยการวิ่งจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราไม่เบื่อมากจนเกินไปที่จะต้องกับตนเองอยู่แต่ในบ้านอาการวิ่งที่ดีนั้นควรจะวิ่งในช่วงเช้าตั้งแต่ช่วง 06:00 นเป็นต้นไปแต่ไม่ควรที่จะเกิน 7:00 นเนื่องจากว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่แสงแดดยังไม่รุนแรงมากนักและยังเป็นช่วงที่อากาศบริสุทธิ์กำลังเย็นสบายหรือถ้าหากในตอนเย็นนั้นก็ควรจะวิ่งช่วงประมาณ 17:30 นจนถึง 18:00 นเพราะเป็นช่วงที่พระอาทิตย์เริ่มตกดินแล้วทำให้อากาศไม่ร้อนจนเกินไป

 

 

สนับสนุนโดย  ซื้อหวยลาว4ตัว

ผักและผลไม้สำคัญไฉน

ทุกคนคงทราบดีอยู่แล้วว่าผลไม้นั้นมีประโยชน์มากแค่ไหนต่อมนุษย์อย่างเรา ซึ่งไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นนะกับพวกสัตว์นี้แหล่ะเป็นอาหารชั้นเยี่ยมยอดของพวกเขาเลยทีเดียว ซึ่งบางคนอาจจะไม่ชอบกินผลไม้เลย แม้แต่กล้วย หรือรับประทานนิดเดียวแล้วก็เลิกแต่จะมีบางคนโปรดปรานผลไม้อย่างอื่น เช่น ทุเรียน ยกไห้เป็นเดอะเบสเลยทีเดียว แต่เพื่อสุขภาพที่ดีนั้นไม่ควรกินเยอะ เราควรเลือกรับประทานผลไม้อย่างหลากหลาย เพื่ออรรถรส และรสชาติที่แตกต่างกันออกไป

ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าผลไม้นั้นมีความสำคัญกับมนุษย์ของเราเป็นอย่างมากเพราะมีวิตมินและแคลเซียมต่าง ๆ ที่ประกอบอยู่ในผลไม้ด้วย เช่นวิตมินเอ วิตมินบี วิตมินซี ทำไห้เรารับประทานเข้าไปแล้วนั้นไปช่วยเสริมสร้างสุขภาพกายไห้แข็งแรง และมีผลดีต่อทางสายตา กระดูกและฟันและเลือดเป็นอย่างมาก

ซึ่งคนส่วนใหญ่จะนิยมรับประทานแตงโมเพราะแตงโมนั้นมีความหวานเป็นทุนเดิมอยู่แล้วและสีสันสดใสมี่ทำไห้น่ารับประทานยิ่งขึ้นไปอีก มีน้ำที่หวานฉ่ำชื่นใจทำไห้เวลาทานเข้าไปแล้วนั้นทำไห้อารมณ์ดี ยิ่งถ้าแช่เย็นคงฟินเลยทีเดียว ซึ่งในแตงโมนี้ มีวิตมินซีสูงและช่วยในเรื่องของโรคโลหิตจางด้วยนะ ส่วนต่อไปก็คือแอปเปิ้ลผลไม้ที่เราคุ้นเคยกันดี เด็กทานได้ผู้ใหญ่ทานดีเพราะเป็นผลไม้ที่มีรถหวานกรอบและไม่ต้องปลอกเปลือกเวลารับประทาน ซึ่งมีทั้งวิตมินเอ วิตมินบี โปรตีนไขมัน คาร์โบไฮเดรตและอื่น ๆอีกสารพัดซึ่งถ้าใครอยากลดน้ำหนักหรือคุมน้ำหนักนั้นเอปเปิ้ลนั้นสามารถช่วยได้นะ

และในแอปเปิ้ลมีสารช่วยต้านมะเร็งใครอยากสุขภาพดีไปซื้อมารับประทานได้เลยเพราะเป็นผลไม้ที่กินง่ายมาก ซื้อมาล้างน้ำแล้วทานได้ทั้งเปลือกเลย หรือถ้าใครไม่ชอบทานเปลือกก็สามารถปลอกได้ และผลไม้ที่เป็นเดอะเบสและสำคัญที่สุดเลยคือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ซึ่งก็จะมีทั้ง ราสเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ สตอเบอร์รี่ เครปกูสเบอร์รี่ และผลไม้ที่รวมอยู่ในตระกูลเบอร์รี่

ซึ่งเบอร์รี่นั้นหอมหวานมากอยู่แล้วสาว ๆยังชอบทานกันด้วยนะ เพราะมีรสชาติที่อร่อย ถูกปากใครหลาย ๆคน อีกทั้งยังชาวยเรื่องการขับถ่าย ผิวพรรณ บำรุงสาบตา บำรุงหน้าตาของเราไห้สวยใสได้อีกด้วย เห็นไหมนี่แค่ผลไม้ที่ยอดฮิตนะ เห็นประโยชน์และความสำคัญของผลไม้ชนิดต่าง ๆหรือยังโดยเรื่องนี้ยกตัวอย่างผลไม้ที่คนเราชอบกินในชีวิตประจำวันมากที่สุด เพื่อไห้ได้รู้ว่าผลไม้สำคัญไฉนเพราะมีทั้งวิตมินต่างๆและการต้านโรคต่าง ๆมากินผลไม้กันเยอะๆนะ เพื่อสุขภาพกายที่ดีของตัวเรา

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย   ซื้อหวยฮานอยออนไลน์

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเลือกซื้อ Universal IN EAR MONITOR

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเลือกซื้อ Universal IN EAR MONITOR ตัวหูฟัง Universal ประเภทนี้นะครับ

เหมาะกับการใส่ของรูหูทุกคนเพราะออกแบบมามีพื้นฐานทั่วไปของหูฟังอยู่ในตัวมันอยู่แล้วในเชิงทั้งดีไซน์และความกระชับ มีหลายอย่างที่เราจะสามารถทำให้มันใกล้เคียงกับหูฟัง custom มากขึ้น และก็หลายอย่างเช่นเดียวกันที่เป็นข้อจำกัดของมัน เราจึงยกตัวอยาก สิ่งที่ต้องรู้มาแนะนำเพื่อนๆดังนี้ มีการสวมใส่ 2 แบบ คือ หูฟังแบบจุกที่เสียบตรงส่งต่อไปยังรูหูคุณจะพบเจอหูฟังแบบนี้ได้พื้นฐานทั่วไป

คล้ายกับหูฟังมือถือ ส่วนอีกแบบนึงคือจะใส่แล้วมีความกระชับไม่หลุดง่ายจะเป็นแบบที่คล้องมาจากทางดั้นหลังหูและสวมใส่เปรียมเสมือนตัวล๊อคกันการหลุดของหูฟังนั่นเอง ราคาแพงใช่ว่าจะดีเสมอไป เนื่องจากผลิตมาจากหลายโรงงานหลายเจ้าบางคนอาจจะเจอหูฟัง Universal หลักร้อย แต่เราชอบเสียงของมันมากกว่าหลักพันก็มี แต่ถ้าคุณจะเลือกใช้เจ้าหูฟังตัวนี้

โดยเน้นที่คุณภาพเสียงโดยตรง แนะนำให้ลองให้มากขึ้นเพื่อเราจะได้รู้ว่าเราชอบอันไหน จะได้ไม่เสียใจหลังซื้อนะครับ ความทนทานต่ำกว่า Custom- Moled  เพราะทำจากพลาสติกใช้อุปกรณ์การต่อหลายชิ้นความทนทานส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่การออกแบบบอดี้หรือ ตรงหูฟังนั่นเอง

ว่าลักษณะที่ออกแบบมาเป็นแบบไหนอย่างไรแตกต่างกันออกไป อุปกรณ์ภายในเหมือน Custom – Moled ต่างกันแค่ Shell หรือ Housing ภายนอกเท่านั้น เป็นอย่างไรกันบ้างกับวิธีที่กระผมมาแนะนำสิ่งที่น่ารู้แบบรวบรัดของหูฟัง Universal IN EAR MONITOR เพื่อต้องการให้ทุกท่านได้รู้และตัดสินใจก่อนจะซื้อเจ้าหูฟังตัวนี้ว่าหลักๆ การทำงานเป็นอย่างไรแตกต่างกันบ้างมั้

สิ่งสำคัญที่สุดของหูฟังตัวนี้ถ้าราคากลางๆ ก็ควรเลือกรูปทรงหรือบอดี้มันให้ดูแข็งแรงทนทานหน่อยเพราะ เสียหายค่อยข้างง่ายถ้าหากบอดี้ออกแบบมาไม่ดีมากนัก

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  เครื่องช่วยฟัง

อาการเริ่มแรกโรคเอดส์ในผู้หญิง

โรคเอดส์ตามที่เราได้รู้จักกันก็คือคนที่ได้รับเชื้อเอชไอวีเข้าสู้ร่างกาย ทำให้เกิดโรคเอดส์ขึ้นมาในร่างกาย ในปัจจุบันนี้พบว่าจำนวนคนเกิดโรคเอดส์นั้นในผู้หญิงมีจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะพบกับวัยเยาวชนเด็กที่ยังไม่รู้จักกันป้องกันตนเองชอบเที่ยวสนุก ทำให้มีโอกาสติดเชื้อเอดส์กันมาโดยไม่รู้ตัว โดยพบคนที่เป็นโรคเอดส์สมัยนี้จะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ซึ่งการติดเชื้อเอดส์มานั้นมีมากมายช่องทาง เช่นการมีเพศสัมพันธ์โดยที่ฝ่ายชายไม่ใส่ถุงยางอนามัย และมีอีกมากมายช่องที่มีโอกาสเสี่ยงทำให้เกิดการติดเชื้อเอดส์มาได้ 

การแพร่เชื้อของเอดส์นั้นถ้ามีการกอดสัมผัสเชยๆ จะไม่มีโอกาสติดเชื้อ หรือการใช้ของร่วมกัน การไอจาม ใช้น้ำน้ำร่วมกัน การไปโดนเหงื่อ น้ำมูก น้ำตา ถือว่าไม่มีโอกาสติดเชื้อเอดส์ได้ แต่การติดเชื้อมานั้น เช่น การติดผ่านทางเลือด โดยการที่อีกคนไปสัมผัสแผลคนที่เป็นอาจส่งผลให้มีการติดเชื้อเอดส์มาได้เช่นกัน ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงจากการสัมผัสคนอื่น โดยที่เราไม่รู้ว่าเขามีเชื้อเอดส์หรือป่าวทางที่ดีควรป้องกันตัวเองไว้ก่อน

อาการเริ่มแรกของผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์มา โดยหลักการมีประจำเดือนอาจจะมีเลือดออกมามาก ร่างกายเริ่มมีอาการปวดตามเนื้อตามตัว รู้สึกเหนื่อยง่ายมากขึ้น อาการโดยร่วมจะมีไข้ขึ้นตลอดเวลา เริ่มมีการกินอาหารไม่ได้ ส่งผลให้เริ่มมีน้ำหนักลดลงเรื่อย ๆตามเวลา จะเริ่มรู้สึกตัวเองความจำไม่ดีลืมง่าย บางทีการมองเห็นเริ่มไม่ชัดขึ้น นี้คืออาการที่สังเกตให้เห็นในผู้หญิง โดยเชื้อจะทำลายร่างกายไปเรื่อย ๆ ร่างกายจะเริ่มมีอาการทรุดลงตามเวลา บางรายอาจถึงตายได้ในเวลาไม่นาน แต่ในผู้หญิงถ้ารู้ตัวว่ามีการติดเชื้อตั้งแต่แรกนั้น อาจช่วยในการรักษาทันได้ในระยะแรก โดยการไปพบหมอช่วยให้ได้รับยามาต้านทันก่อนที่เชื้อเอดส์จะไปทำลายในร่างกายเร็วขึ้น 

การดูแลสภาพจิตใจของผู้ติดเชื้อในผู้หญิง ควรหาอะไรทำให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลาย จะได้ไม่ต้องกังวนกับเชื้อเอดส์ การหันไปรักษาสุขภาพโดยการออกกำลังเท่าที่จะทำได้ การดูแลตัวเองให้มีความสุขถือว่าเป็นสิ่งที่ดีในการช่วยให้สภาพจิตใจมีความเข็มแข็งขึ้น สามารถช่วยให้ร่างกายเราต่อสู้มีพลังกับการต่อสู้กับโรคเอดส์ โดยคนครอบครัวก็ถือว่าสำคัญในการดูแลคนป่วยโรคนี้ การไม่ไปซ้ำเติมทำให้สภาพจิตใจคนป่วยแย่ลง ควรให้กำลังใจในยามที่เขารู้สึกแย่ลง

 

ขอขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  ชุดตรวจ hiv

รู้หรือไม่หากใช้เครื่องช่วยฟังแล้วใช้โทรศัพท์ยังไง

 สำหรับคนที่ใช้เครื่องช่วยฟัง หลายคนมักจะพบกับปัญหาการใช้งานพร้อมกันระหว่างโทรศัพท์กับเครื่องช่วยฟังพร้อมกันได้ลำบาก บางครั้งพบปัญหาว่ารับโทรศัพท์แล้วไม่ค่อยได้ยินเสียง บางครั้งได้ยินเป็นหวีดน่ารำคาญหู บางคนก็ได้ยินเสียงไม่ชัดเจนซึ่งเป็นความลำบากของผู้ที่ต้องใช้ เครื่องช่วยฟัง ซึ่งหลายท่านที่พบปัญหาแบบนี้ก็มีมาบ่นหรือบางคนก็ตัดความรำคาญด้วยการไม่รับโทรศัพท์เลยก็มี ซึ่งในปัจจุบันโทรศัพท์มือถือก็มีโปรแกรมแชตสำหรับเอาไว้พิมพ์คุยกันได้ จึงเป็นอีกทางออกหนึ่งของคนที่มีปัญหาด้านการได้ยินแล้วต้องใช้เครื่องช่วยฟัง

แต่ถ้าเป็นคนสูงอายุใช้งานก็จะมีปัญหาเรื่องของการมองตัวหนังสือไม่ค่อยเห็นขึ้นมาอีก ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นปัญหาที่คนใช้เครื่องช่วยฟังเคยเจอเมื่อนานมาแล้ว แต่ในปัจจุบันโลกมีวิวัฒนาการมากขึ้น เทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้นความเจริญก้าวหน้าจึงนำมาเพื่อการปรับปรุงระบบของอุปกรณ์ให้ทันสมัยรองรับความต้องการอันหลากหลายของผู้ใช้งาน เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น การพัฒนาอุปกรณ์เครื่องช่วยฟังก็เช่นเดียวกัน จากที่เมื่อก่อนจะมีปัญหามากเมื่อต้องรับโทรศัพท์มาในปัจจุบันนี้ บริษัทที่ผลิตอุปกรณ์เครื่องช่วยฟังได้มีการปรับปรุงฟังชั่นให้เครื่องช่วยฟังสามารถใช้งานได้ควบคุมกับการคุยโทรศัพท์ไปด้วย

โดยในปัจจุบันคนที่ใช้เครื่องช่วยฟังส่วนใหญ่ไม่ได้พบปัญหาเสียงเบา เสียงไม่ชัดหรือได้ยินเสียงหวีดอีกแล้ว แต่หากใครท่านไหนที่ยังพบปัญหาอยู่ลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ดูนะคะ คุณจะสามารถใช้งานเครื่องช่วยฟังให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

  • ถ้าคุณใช้เครื่องช่วยฟังแบบสอดเข้าไปในรูหูแล้วละก็ เวลาที่คุณรับโทรศัพท์หรือต้องการที่จะโทรศัพท์ออกไปหาเพื่อนให้คุณเอาลำโพงออกห่างจากหูที่มีเครื่องช่วยฟังอุดอยู่ประมาณสัก 1-2 เซนติเมตร อยากเอาโทรศัพท์แนบกับหูจนเกินไป ถ้าทำแบบนี้แล้วยังเสียงเบาให้ลองปรับความดังของเสียงที่ตัวโทรศัพท์ดูนะคะ ค่อยๆปรับทีละนิดจะช่วยให้ได้ยินเสียงได้ชัดเจนขึ้นและไม่มีเสียงหวีดด้วยค่ะ
  • หากเครื่องช่วยฟังเป็นแบบคล้องใบหู ให้เอาโทรศัพท์มือถือตรงส่วนของลำโพงไปแนบไว้ใกล้ที่เกี่ยวหูด้านบน เพราะรูของไมโครโฟนของเครื่องช่วยฟังจะอยู่ตรงนั้น หากเอามาแนบตรงหูเลยจะทำให้ได้ยินเสียงไม่ชัดเจน และที่ทำสำคัญอย่างวางโทรศัพท์มือถือแนบใกล้กับรูหูฟังมากจนเกินไป ให้เว้นระยะห่างสัก 1-2 เซนติเมตร ก็จะช่วยให้ใช้งานโทรศัพท์ได้ชัดเจนขึ้น

การใช้เครื่องช่วยฟังกับโทรศัพท์นั้นหากใช้งานใหม่ๆอาจยังไม่คุ้นชิน ซึ่งอาจทำให้เกิดความรำคาญได้ แนะนำให้ลองใช้งานบ่อยๆจนเกิดความเคยชินแล้วหลังจากนี้ก็จะสามารถใช้งานทั้งสองอย่างคู่กันได้โดยไม่มีปัญหา

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีอยู่หลายประเภท

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีอยู่หลายประเภท

โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากการเติบโตของเซลล์เยื้อบุของผนังด้านในกระเพาะปัสสาวะที่แตกต่างจากปกติ โดยโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะจะมีอยู่หลายประเภท

– ประเภท Transitional Cell Carcinoma หรือ Urothelial Carcinoma เกิดขึ้นในเยื่อบุฝาผนังข้างในกระเพาะ เป็น
ประเภทโรคมะเร็งที่พบได้มากที่สุดของโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
– ประเภท Squamous Cell Carcinoma มีต้นเหตุจากการได้รับเชื้อ อักเสบแบบเรื้อรังจากการส่องแสง หรือได้รับยาเคมีเพื่อบรรเทา บางชนิดและก็เป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะเวลานานโดยมิได้รับการดูแลรักษา
– จำพวก Adenocarcinoma จำพวกแบบต่อมที่เจริญก้าวหน้ามากมายจากเยื่อต่อมซึ่งเป็นเยื่อบุผิว
– จำพวก Small cell carcinoma เกิดขึ้นจากเซลล์ Neuroendocrine cells
– ประเภท Sarcomas เกิดจากในเซลล์กล้ามกระเพาะปัสสาวะ

คนไหนที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
– อายุ 40 ปีขึ้นไป หรือบางทีอาจเจอได้ในคนที่แก่น้อยกว่า แล้วก็ชอบเจอในผู้ชายมากยิ่งกว่าในผู้หญิง
– คนที่ดูดบุหรี่หรือได้รับควันจากบุหรี่ โดยคนที่ดูดบุหรี่ได้โอกาสเป็นโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะราว 8 เท่าของคนที่ไม่ดูดบุหรี่
ได้รับสารเคมีที่อันตรายบางประเภท
– การทานอาหารที่มีไนเตรตสูง ดังเช่น เนื้อสัตว์ หรือผักบางจำพวก
– คนที่ติดโรคในกระเพาะปัสสาวะแบบเรื้อรัง ดังเช่น นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หรือติดเชื้อโรคปรสิตจากบางสิ่งบางอย่าง
– การใช้ยาบางประเภทจากวิธีการทำเคมีบรรเทา
– การถ่ายทอดทางพันธุกรรม

4 โรคร้าย ที่เกิดจากการทำงาน

ใช่ว่าตำแหน่งใหญ่โต เงินเดือนสูง แล้วจะหนีไปจากโรคออฟฟิศซินโดรมได้ เพราะว่ายิ่งจะต้องคิดต้องทำงานให้หนักขึ้น บริหารทั้งงานและลูกน้องควบคู่กันไป อาจทำให้เกิดภาวะเครียดและเสี่ยงต่อโรคจากความเสื่อมถอยโดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง โรคเครียด โรคนิ่วในถุงน้ำดี และโรคอ้วน เป็นต้น

ช่วงอายุประมาณ 25-39 ปี เป็นวัยแห่งการทำงานที่แท้จริง เพราะก็หนีไม่พ้นโรคออฟฟิศซินโดรมเช่นกัน เพราะยุคนี้เป็นยุคแห่งการรีบเร่ง อีกทั้งในเรื่องของการที่คุณต้องใช้คอมพิวเตอร์วันละหลาย ๆ ชั่วโมง การอดอาหาร อดหลับอดนอนเพื่อให้งานเสร็จ ทำให้ร่างการต้องแบกรับความตรึงเครียดปราศจากการผ่อนคลาย ซึ่งทำให้คุณเสี่ยงเป็น 4 โรคจากการทำงานดังต่อไปนี้

1. นิ่วในถุงน้ำดี
โรคนิ่วในถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับอาหารการกิน เพราะในชั่วโมงที่เรารีบเร่ง การเลือกอาหารในการทานนั้นก็เป็นเรื่องยาก เรียกได้ว่ามีอะไรก็ทานๆ ไป ซึ่งอาจทำให้เกิดการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เกิดการสะสมไขมันจนอาจก่อให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดี ในหญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงมาก และคนอ้วนมักเป็นโรคนี้มากกกว่าคนผอม โดยยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลให้เกิดโรคนี้ เช่น กรรมพันธุ์ การอักเสบและการคลั่งของน้ำดีในถุงน้ำดี การทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ๆ โดยเมื่อเป็นนิ่วในถุงน้ำดีแล้ว ถ้าไม่รีบรักษาอาจจะก่อให้เกิดอาการเรื้อรังตามมาได้

2. กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ผู้หญิงมักจะพบปัญหานี้มากกว่าผู้ชาย เพราะสกิลที่สามารถอั้นปัสสาวะได้ จนอาจทำงานเพลิน ลืมไปเข้าห้องน้ำซึ่งเป็นสาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ซึ่งมักจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียเข้าไปทางท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดการอักเสบ

3. โรคเครียด นอนไม่หลับ

โรคเครียดที่เกิดจากการทำงาน งานไม่เสร็จ ทำทัน หรือต้องวางแผนงานสุดยาก หรือการเครียดจากครอบครัว ความมั่นคงในชีวิต ซึ่งทำให้คุณเก็บมาคิดจนถึงขั้นนอนไม่หลับ วิธีการหลีกเลี่ยงที่ง่ายที่สุดก็คือ พยายามไม่เครียด รู้จักผ่อนคลายเสียบ้าง แค่คุณลองทิ้งงานไปเดินเล่นสัก 10 นาที ก็ถือว่าได้ผ่อนคลายแล้วบ้าง

4. ความดันโลหิตสูง
โรคความดันนี้ไม่มีอาการที่จะสามารถแสดงออกมาได้เลย จนกระทั่งเมื่อเราอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งเกิดจากปัจจัยบางอย่าง ได้แก่ การมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้แบบไม่ทราบสาเหตุ จะมีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าคนอื่น ๆ ถึง 3 เท่า นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุให้เราเสี่ยงเป็นโรคความดัน ได้แก่
• โรคอ้วน
• ความเครียด
• การรับประทานอาหารรสเค็ม
• การสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า
• ผู้ที่ทำงานนั่งโต๊ะในสำนักงาน จะมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ที่ทำงานใช้กำลัง

ความดันโลหิตสูงไม่ควรปล่อยปะละเลยควรให้ความสนใจอย่างยิ่ง เนื่องจากสามารถพาไปเสี่ยงกับภาวะอื่นๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นเส้นเลือดแตก อัมพฤกษ์ อัมพาต ไตวาย พิการ และหัวใจวายอีกด้วย เมื่อรู้เช่นนี้แล้วก็ควรให้ความสนใจกับสุขภาพของคุณบ้างอย่าปล่อยให้งานที่เรารักมาทำลายสุขภาพที่เราก็รักเลย

วัณโรค พบเร็ว รักษาให้หายขาดได้

 

“วัณโรค”เป็นโรคตั้งแต่ยุคโบราณของประเทศไทยที่ยังคงอยู่ถึงในปัจจุบัน ซึ่งจริงๆ แล้วมันน่าจะหายไปแล้วตั้งแต่ในอดีต แต่ปัจจุบันก็ยังคงพบอยู่เรื่อยๆ และคร่าชีวิตคนไทยไปไม่น้อย กระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลไว้ว่า ในปี 2560-2561 มีผู้ป่วยวัณโรคในประเทศไทย 22,784 ราย และจากสถิติที่ผ่านมาพบผู้ป่วยวัณโรคมากถึง 108,000 รายต่อปี เสียชีวิตไปแล้วกว่า 12,000 ราย
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า วัณโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อว่า ไมโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซิส (Mycobacterium tuberculosis) ติดต่อผ่านระบบทางเดินหายใจ ร้อยละ 80 จะเกิดที่บริเวณปอด สามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่น เยื่อหุ้มสมอง ต่อมน้ำเหลือง กระดูก

กลุ่มเสี่ยงโรควัณโรค
กลุ่มที่เสี่ยงต่อการรับเชื้อวัณโรคจากระยะแพร่เชื้อได้ง่าย คือ เด็กๆ เพราะว่าเชื้อจะออกมากับการไอ จาม ในห้องที่ทึบ และเข้าสู่ร่างกายได้ทางการหายใจเอาเชื้อเข้าไป เชื้อจะมีชีวิตอยู่ได้ถึง 1 สัปดาห์ กรณีเชื้อในเสมหะหากมีการปล่อยเสมหะออกสู่ขั้นนอกที่ไม่มีแสงแดด บางทีเชื้ออาจอยู่ในเสมหะนั้นได้นานถึง 6 เดือน ทั้งนี้อาการเมื่อป่วยเป็นวัณโรค หากติดเชื้อในระยะแรกมักไม่มีอาการ จะทราบว่าติดเชื้อแล้วก็ต่อเมื่อได้ตรวจสุขภาพจริงๆ โดยตรวจจากเสมหะ โดยการทดสอบทูเบอร์คิวลินจะให้ผลบวก ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเคยติดเชื้อตอนเป็นเด็ก

ปัจจัยเสี่ยงของวัณโรค
วัณโรคสามารถแพร่เข้าสู่ร่างกายได้ทางระบบหายใจ ซึ่งเชื้อจะอยู่ในอากาศอยู่แล้ว ซึ่งหากเราได้ใหล้ชิดสัมผัสผู้ติดเชื้ออาจจะทำให้เราได้รับเชื้อโดยตรงเข้าร่างกายเพิ่มขึ้น อาจทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยเฉพาะการติดเชื้อ HIV ผู้ติดยาเสพติดและโรคขาดอาหาร

สัญญาณอันตราย “วัณโรค”
1. ไอเรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์

2. น้ำหนักลด

3. เบื่ออาหาร

4. เหงื่อออกกลางคืน

วัณโรค พบเร็ว รักษาหายได้
วัณโรคถึงแม้จะเป็นโรคติดต่อและอาจเป็นถึงขั้นเรื้อรัง แต่อย่างไรก็ตามก็มียาที่สามารถรักษาให้หายขาด หากได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ซึ่งจะต้องกินยาติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือนห้ามขาด และต้องพักผ่อนให้เพียงพอ และเลือกทานอาหารที่มีโปรตีนและวิตามินสูง เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย แสดงให้เห็นว่าการดูแลรักษาตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอจึงมีส่วนช่วยให้การรักษาเต็มไปด้วยประสิทธิภาพมากขึ้นและช่วยให้ในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโรคดีขึ้น และตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หากมีอาการตามสัญญาณอันตรายข้างต้น ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน

กินเค็มไม่ดี เพราะอะไร

อาหารที่อร่อยคือต้องมีรสกลมกล่อม ทั้งหวาน เค็ม เปรี้ยว และเผ็ด แต่รู้หรือไม่ว่ากว่าจะได้รสชาตินั้นต้องเติมเครื่องปรุงลงไปกี่ชนิด กี่ช้อน? และนอกจากรสชาติที่เราได้รับจากการกินแล้วร่างกายจะได้รับอะไรตามมาอีกบ้าง?
เคยแปลกใจบ้างไหมว่าทำไมบางคนกินอะไรก็ขาดเครื่องปรุงไม่ได้ ขอเติมน้ำตาลลงไปสัก 1 ช้อน ราดน้ำปลาลงไปอีกสัก 1 ช้อนครึ่ง โดยที่ยังไม่ได้ชิมก่อนเลยแม้แต่นิดเดียวว่าอาหารที่พร้อมเสิร์ฟมานั้นมีรสชาติอย่างไร ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าลิ้นของมนุษย์เรามีปุ่มรับรสเล็กๆ ที่เรียกว่า ปาปิลา (Papilla) จำนวนมาก ซึ่งปุ่มรับรสจะมีด้วยกัน 4 ชนิด คือ รสหวาน รสขม รสเปรี้ยว และรสเค็ม ซึ่งการรับรู้รสชาติเหล่านี้จะเป็นการกระตุ้นให้สมองประมวลผลรับรู้รสและจะสั่งให้ชอบอาหารนั้นๆ หรือเรียกว่าสมองเสพติดรสชาตินั่นเอง

ยิ่งอายุเพิ่มมากขึ้นการทำงานของประสาทรับรสก็ยิ่งเสื่อมลงไม่ต่างกับอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย ซึ่งภาวะการสูญเสียการรับรู้รสจะพบได้มากในกลุ่มผู้สูงอายุ จึงอย่าได้แปลกใจหากอาหารสุดอร่อยที่คุณตาคุณยายในบ้านเคยทำให้เมื่อตอนเราเด็ก พอกลับมาทานตอนโตจะรู้สึกว่าปรุงหนักและมีรสชาติจัดไปทางรสเค็ม นั่นก็เพราะพวกท่านรับรู้ว่านั่นคือรสชาติที่กำลังพอดี อันเนื่องมาจากภาวะสูญเสียการรับรสนั่นเอง

“เมื่อก้าวสู่การเป็นผู้สูงวัย นอกจากการรับรู้รสจะเสื่อมจากเดิมแล้ว ระบบอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายก็เริ่มเสื่อม หากยิ่งไม่ใส่ใจเรื่องอาหารการกินก็ยิ่งเพิ่มตัวเร่งความเสื่อมของอวัยวะอื่น ๆ ให้มาถึงเร็วขึ้น เพราะหากเลือกกินอาหารไม่เป็น กินอาหารที่เค็มจัด มีโซเดียมสูง ก็ยิ่งทำให้ไตทำงานหนักมากขึ้น” อาจารย์สง่า ดามาพงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. และที่ปรึกษาด้านโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าว

ก่อนอาจารย์สง่า จะบอกต่อไปว่า โรคไตเป็นสิ่งที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตมนุษย์ เพราะคนที่เป็นโรคนี้ไม่ใช่แค่ต้องเสียเงินมหาศาลเพื่อไปล้างไต ฟอกไต แต่ยังเสียเวลา เสียสุขภาพจิต ซึ่งเขาอาจรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นภาระของครอบครัว ดังนั้นคนที่ไม่อยากเป็นโรคไตทั้งในวัยผู้สูงอายุ วัยทำงาน วัยหนุ่มสาว หรือวัยเด็ก จึงต้องใส่ใจดูแลสุขภาพตัวเองด้วยหลักง่ายๆ คือ

เลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมสูง อาหารที่มีโซเดียมสูงไม่ใช่แค่เกลือกับน้ำปลา แต่ยังรวมถึงกะปิ ปลาร้า ผงชูรส ซีอิ๊ว ผงซุปก้อน ซอสปรุงรส ผงฟูที่อยู่ในขนมปังเบเกอรี่ต่าง ๆ และสารถนอมอาหารในอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบค่อน หมูยอ เป็นต้น

กินผักและผลไม้อย่างเพียงพอ อย่างน้อยวันละ 400 กรัม จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้ระยะหนึ่ง

กินอาหารที่มีแคลอรี่น้อย

ออกกำลังกาย เคลื่อนไหวร่างกายอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า โรคไตไม่ใช่โรคที่เกิดจากการกินเกลือเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการกินโซเดียมเกินปริมาณตามความต้องการของร่างกายที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่า ในทุก ๆ วันคนเราไม่ควรกินโซเดียมเกิน 1 ช้อนชา หรือ 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในขณะที่คนไทยในวัยผู้ใหญ่ได้รับโซเดียมเกินกว่ามาตรฐานกำหนดถึง 2 เท่า วันนี้ ทีมเว็บไซต์ สสส. จึงรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพไตมาฝาก

ลดเค็ม… ลดได้หลายโรค
ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ สาขาวิชาโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม ได้กล่าวไว้ในวิดีโอ ลดเค็มลดหลายโรค ที่เผยแพร่ผ่านแชนแนล RAMA CHANNEL ทางยูทูป ไว้ว่า “การลดกินเค็มมีส่วนป้องกันโรคที่มีปัจจัยเกี่ยวกับการกินโซเดียมเกินความต้องการของร่างกาย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น ซึ่งการลดปริมาณการกินเค็มจะทำให้อาการของโรคนั้น ๆ ดีขึ้น และป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนในระยะยาว ส่วนใหญ่ปรุงรสเค็มอย่างเดียวก็ไม่อร่อย ต้องมีรสนัว กลมกล่อม ก็ต้องเติมน้ำตาลเพิ่ม ทำให้กินเค็มและหวานเกินเป็นต้นเหตุของการพ่วงทั้งโรคเบาหวานและโรคอ้วนตามมา ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานที่กินเค็มมากจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตมากกว่าผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่กินเค็ม ดังนั้นเลี่ยงเค็มจึงสามารถป้องกันได้หลายโรค”

วิธีลดเค็มอย่างไรให้ได้ผล?
ที่คนเราชอบกินเค็ม กินหวาน เป็นเพราะความเคยชิน ดังนั้นจึงต้องค่อย ๆ ลดทีละน้อย ๆ จะทำให้ลิ้นค่อย ๆ ปรับความไวการรับรสได้ ผศ.นพ.สุรศักดิ์ แนะนำการลดเค็มอย่างไรให้ได้ผลว่า ‘ควรลด 10%’ ในครั้งแรก และถัดไปอีกประมาณ 2 อาทิตย์ หรือ 1 เดือน ให้ลดลงไปอีก 10% และอีก 1 เดือนต่อมาให้ลดลงอีก 10% วิธีนี้จะทำให้ลดสามารถลดเค็มได้ 30% ภายในระยะเวลา 3 เดือน และเป็นการลดเค็มที่เรายังมีความสุขกับการกินเหมือนเดิมแต่ร่างกายเคยชินกับการกินรสเค็มที่น้อยลง

6:1:1 เคล็ดลับกินดี ส่งตรงจาก อาจารย์สง่า ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ
อาจารย์สง่า ได้แนะนำเคล็ดลับการกินอาหารสำหรับผู้สูงวัยให้ห่างไกลโรค คือ ผู้สูงอายุควรกินอาหารตามธรรมชาติผ่านการปรุงแต่งให้น้อยที่สุด เลือกข้าวกล้องแทนข้าวขาวเพราะจะมีสารอาหารมากกว่า กินเนื้อปลาสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง จะได้รับโปรตีนที่มีคุณภาพ สามารถกินไข่ได้วันละ 1 ฟอง โดยเน้นไปที่ไข่ต้ม ไข่ตุ๋น (ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ควรลดเหลือสัปดาห์ละ 3-4 ฟอง) กินถั่วเมล็ดแห้ง ดื่มนมรสจืดหรือนมพร่องมันเนย 1 กล่อง หรือ 1 แก้วต่อวัน กินผักผลไม้เป็นประจำ ที่สำคัญต้องใช้สูตร ‘6:1:1’ คือ กินน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา น้ำมันไม่เกิน 6 ช้อนชา และเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน ก็จะทำให้เป็นผู้สูงอายุที่ห่างไกลโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้มากมาย แถมสูตรนี้ยังได้ผลดีกับคนทุกวัยอีกด้วย

เคล็ดลับดูแลตับให้แข็งแรงด้วยวิธีที่ดีที่สุดสำหรับตับโดยเฉพาะ

นอนไม่ค่อยหลับ ตับผิดปกติ ?

 

อาการนอนไม่ค่อยหลับมักอาจเกิดได้กับหลายๆบุคคล ไม่ว่าจะมีสาเหตุจากไม่คุ้นชินสถานที่ หรือมีมลภาวะรบกวน นอนไม่หลับเพราะความเครียดหรือคิดมาก วิตกกังวลกับเรื่องใดๆอยู่ อาการเหล่านี้อาจจะทำให้เสียสุขภาพได้ในเบื้องต้น แตกหาก มีอาการหลับไม่สนิท ตื่นมางัวเงีย มีอาการเพลียระหว่างวัน  อาจจะเข้าข่าย “ตับพัง”

 

การง่วงนอนนั้นมาจากสารเคมีในร่างกายที่กำลังเริ่มทำงานโดยชื่อว่า เมลาโทนิน เป็นฮอร์โมนที่ร่างกายผลิตขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยมีความมืดเป็นตัวกระตุ้นทำให้ระดับของเมลาโทนินสูงขึ้นมากกว่าปกติในเวลากลางคืน เมื่อสารชนิดนี้เริ่มทำงานแล้ว ส่งผลให้ระดับหัวใจของเราเต้นช้าลง กล้ามเนื้อต่างๆเริ่มผ่อนคลาย เริ่มหายใจแผ่ว มีอาการง่วงนั่นคือกำลังตกอยู่นสภาพวันนอนหลับ นั่นเอง

 

จากการศึกษาพบว่า ระดับเมลาโทนินนั้นจะเพิ่มขึ้นมากในช่วงกลางวันเนื่องจากผู้ป่วย มีการทำงานผิดปกติของตับ แต่ถ้าหากง่วงในเวลากลางคืน การขจัดเมลาโทนินก็จะถูกขจัดไปตรงตามช่วงเวลานาฬิกาชีวิต ตอนกลางคืนหลับสนิท ในระหว่างวันก็จะไม่มีอาการง่วงหรืออ่อนเพลีย

 

เคล็ดลับดูแลตับให้แข็งแรง สำหรับสารที่จะช่วยในการขับสารพิษที่เรารู้จักกันดีนั่นก็คือสาร กลูต้าไธโอน หรือที่เรียกกันว่า สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่กำจัดสารพิษออกจากตับ หากได้รับกลูต้าไธโอนในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะสามารถขับไล่สารพิษต่าง ๆในตับ ทำให้ตับทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ร่างกายมีสุขภาพดี ตับขับสารพิษจากร่างกายได้อย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นหากเราได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ อวัยวะต่างๆภายในก็จะทำงานได้เป็นปกติ ระบบการทำงานภายในของเรามักจะเชื่อมโยงถึงกันทั้งหมด หากขาดอวัยวะชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งไปก็จะส่งผลให้เราไม่สามารถประกอบกิจกรรมในแต่ละวันได้ ดังนั้นการนอนหลับให้เป็นเวลาถือเป็นการช่วยรักษาสุขภาพจากภายในสู่ภายนอก ช่วยให้ดูสดใส และอวัยวะต่างๆทำงานได้อย่างครบถ้วน